- แอตแลนติส คืออาณาจักรโบราณ เป็นดินแดนที่สาบสูญ ช่วงเวลาที่แอตแลนติสล่มสลายไปประมาณ 9,000-12,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย
- เพลโต นักปราชญ์ชาวกรีกเขียนเรื่องนครแอตแลนติสที่หายสาบสูญไปแบบไร้ร่องรอย เอาไว้เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งยุคของเพลโต ห่างจากยุคของแอตแลนติสราว 9,000 ปี
- มีข้อสันนิษฐานมากมายเกี่ยวกับนครแอตแลนติส: ดินแดนที่สาบสูญ ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ หายไปเพราะอย่างนั้นอย่างนี้
- นครแอตแลนติส และผู้คนในนครแห่งนี้ หายไปไหนกัน?
ตอบ แอตแลนติส และผู้คนในนครแอตแลนติส หายไปอยู่ในกาลเวลาอื่น และไปในโลกอื่น(ของจักรวาลคู่ขนาน)
ความรุ่งเรืองที่ไม่จีรังของอาณาจักรมายากำเนิดขึ้นในป่าฝนทางตอนใต้ของเม็กซิโกและอเมริกากลาง ณ ดินแดนแห่งนี้ อารยธรรมมายายุคคลาสสิกเจริญถึงขีดสุด เราจะเริ่มติดตามเรื่องอาณาจักรมายาเมื่อ
3000 ปีก่อน โดยมีการเยือนของจอมทัพผู้หนึ่งจากตอนกลางของเม็กซิโกเป็นการเปิดศักราชแห่งความอลังการและศิลปวัตถุที่วิจิตรพิสดารยิ่ง เช่น หน้ากากมรณะของกษัตริย์ปาคาล ผู้ครองนครปาเลงเก หรือวิหารอันงดงามจำนวนมากท่ามกลางป่าดงพงพฤกษ์ที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันล้ำเลิศของชาวมายา ทว่าอาณาจักรที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูกลับล่มสลายลง ดังที่เห็นได้จากสารคดีว่า มหันตภัยระลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ ส่งผลให้อารยธรรมมายายุคคลาสสิกถึงกาลอวสาน
จอมทัพผู้นั้นมาถึงในฤดูแล้ง เขาเดินเข้าสู่นครวากาของชาวมายาอย่างสง่างามขนาบข้างด้วยเหล่าขุนศึก ชาวเมืองตื่นตะลึงกับแสนยานุภาพของกองทัพแต่ยังประทับใจกับเครื่องแต่งกายอันอลังการของขุนศึกจากมหานครอันไกลโพ้น จารึกโบราณระบุว่า วันนั้นคือวันที่ 8 มกราคม ปี 378 และนามของชายผู้นั้นคือ อัคคีจุติ เขามาถึงนครมายา ในฐานะทูตจากอาณาจักรเรืองอำนาจแห่งที่ราบสูงเม็กซิโก หลายสิบปีต่อมา ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในศิลาจารึกทั่วอาณาจักรของชาวมายาซึ่งเป็นอารยธรรมดงดิบแห่งเมโสอเมริกาชายผู้นี้ได้ทิ้งมรดกที่ทำให้มายาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดนานถึงห้าศตวรรษ
ชาวมายาเป็นชนเผ่าลึกลับมาตลอด เมื่อหลายพันปีก่อน ความยิ่งใหญ่ของเหล่านครที่ล่มสลาย และอักษรภาพแกะสลักที่สวยงาม แต่ไม่มีใครอ่านออก ทำให้นักวิจัยไม่น้อยจินตนาการถึงสังคมสันติสุขที่เต็มไปด้วยนักบวชและอาลักษณ์ แต่เมื่อนักอ่านจารึกเริ่มถอดอักษรภาพเหล่านั้นได้ภาพที่เห็นกลับโหดร้ายกว่าที่คิด มีทั้งการสู้รบของราชวงศ์ต่างๆ การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก และการเผาทำลายพระราชวัง
กระนั้นก็ยังมีปริศนาลี้ลับอีกหลายประการ เช่น อะไรที่ส่งผลให้ชาวมายาก้าว
กระโดดขึ้นสู่จุดสูงสุด ในช่วงที่อัคคีจุติเริ่มมีชื่อเสียง คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงได้กระจายไปทั่วอาณาจักรมายาแล้ว กลุ่มนครรัฐที่ไม่นิยมสุงสิงกับโลกภายนอกได้ขยายความสัมพันธ์กับนครข้างเคียงและวัฒนธรรมอื่นๆ และสร้างงานศิลปะที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนถือว่าเป็นวัฒนธรรมมายายุคคลาสสิก
ชัมบาลา (SHAMBALA),
ดินแดนที่ขอบฟ้าไม่ปรากฏ (Lost Horizon)
มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ
อาณาจักรที่ต้นตอแห่งศิลปศาสตร์และอารยธรรมของสังคมเอเชียปัจจุบัน ตามตำนานเล่าว่า
อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรือง ซึ่งปกครองโดยผู้ปกครองทรงสติปัญญาและการุณ
ทั้งอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนรอบรู้และเมตตาปราณี
ดังนั้นเองอาณาจักรนี้จึงเป็นสังคมในอุดมคติ สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า ซัมบาลา
แต่ว่าตามตำนานอื่นๆ กลับกล่าวว่า อาณาจักรซัมบาลานี้ได้สาปสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว
เมื่อทั้งราชอาณาจักรได้บรรลุถึงการตรัสรู้ จึงได้สูญสลายไปดำรงอยู่ในมิติอื่น
ตามตำนาน กล่าวว่า กษัตริย์ริกเดนแห่งซัมบาลายังคงเฝ้าดูมวลของมุนษย์โลกอยู่
แล้วสักวันหนึ่ง จะลงมาช่วยมนุษย์ชาติให้รอดพ้นหายนะ ยังมีชาวธิเบตอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่
กษัตริย์เกซาร์ ทรงได้รับแรงบันดาลใจและได้รับการชี้นำจากกษัตริย์ริกเดน และมีความเชื่อที่ว่าอาณาจักรซัมบาลาดำรงอยู่ในมิติอื่น
เพราะ เชื่อกันว่าเกซาร์ก็ไม่เคยเดินทางไปซัมบาลา
ดังนั้นสายสัมพันธ์แห่งซัมบาลาจึงเป็นเรื่องของ การเชื่อมโยงทางภาวะธรรม
ราชันเกซาร์มีชีวิตอยู่ประมาณศตวรรษที่สิบเอ็ด และได้ปกครอง แว่นแค้วนหลิง
จากรัชสมัยนี้เอง จึงอุบัติเรื่องราวมากมาย เล่าขานกันไปทั้งธิเบต กลายเป็น
มหากาพย์อันยิ่งใหญ่ของวรรณกรรมธิเบต
หลังจากที่อาณาาจักรฮิตไทต์ได้ล่มสลายและสาบสูญไปกว่าสามพันปี
และพงษ์กษัตริย์แล้วไม่มีใครได้ยินชื่อนี้อีกเลย
จนเมื่อเร็ว ๆ นี้มีนักโบราณคดีชาวฝรัางเศษขุดพบ พระราชวงศ์
และข้าบริพารอาศัยอยู่ในเนินเขาแถบประเทศตุรกี
การเจรจาสงบศึกกับอียิปต์ในสมัยของฟาห์โรห์ราเมเสสที่สอง
ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ราเมเสสเองก็ได้บันทึกชัยชนะของกองทัพตนไว้เช่นเดียวกัน
20 ปีก่อนคริสตกาล ณ กรุงเฮเครียน บริเวณปากแม่น้ำไนล์ ชายฝั่งของอียิปต์ดินแดนแห่งความรุ่งเรืองและลี้ลับ ดินแดนอันเกี่ยวเนื่องกับชะตาของเฮเลนแห่งทรอย เฮอคิวลิส และที่ขาดไม่ได้ก็คือ พระนางคลีโอพัตรา ฟาโรห์องค์สุดท้ายแห่งอียิปต์ อาณาจักรแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองนี้อยู่ใต้การปกครองของฟาโรห์ ปโตโลมีกษัตริย์ชาวกรีก นับจากนั้นเป็นเวลาสามศตวรรษ จากการเดินทางมาของโรมดินแดนอันน่ารื่นรมย์แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ระหว่าง 2 อารยธรรมซึ่งเพราะการปะทะกันครั้งนี้นี่เองที่เป็นเหตุให้คาโนปัสต้องล่มสลาย และพระนางคลีโอพัตรา เป็นผู้กุมชะตาแห่งความพ่ายแพ้ ความปราชัยของพระนางนี้เองที่เป็นเหตุให้พระนางต้องสังเวยพระชนม์ชีพ และเป็นที่มาของการล่มสลายของอาณาจักรที่หายสาบสูญไปใต้ท้องบาดาล การค้นหาดินแดนลึดลับนี้ไม่ไช่เรื่องง่าย กุญแจสำคัญของประวัติศาสตร์ครั้งนี้มีเพียงตำนานเท่านั้น....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น